สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
“ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก
บุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยตรงได้
สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น
ตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น (มาตรา ๓๗๔)
เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกเกิดขึ้นแล้ว
คู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิไม่ได้”(ม.๓๗๕)
๑.คู่กรณีตกลงยกทรัพย์ให้บุคคลภายนอก
เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก แม้ทรัพย์ที่จะให้เป็นอสังหาริมทรัพย์
ไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๕๒๕ ไม่ต้องจดทะเบียนสัญญาให้สมบูรณ์
และมิใช่การให้หรือคำมั่นจะให้อสังหาริมทรัพย์ตาม ปพพ.๕๒๕,๕๒๖ (ฎ.๖๔๗๘/๔๑)
๒.ลักษณะของสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
๒.๑ คู่สัญญาไม่ต้องระบุตัวบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ว่าเป็นผู้ใดโดยเฉพาะเจาะจงขณะทำสัญญา
เช่นตกลงว่าให้โอนที่ดินแก่บริษัทที่ก่อตั้งในอนาคตก็ได้(ฎ.๒๗๗/๕๑)
๒.๒ เจ้าของที่ดินทำสัญญาให้ผู้อื่นปลูกสร้างอาคารบนที่ดินตนโดยตกลงให้ฝ่ายที่ปลูกสร้างอาคารมีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้ขอเช่าอาคาร
โดยเจ้าของที่ดินจะทำสัญญาเช่าให้แก่ผู้มาขอเช่าอาคารถือว่าผู้มาขอเช่าอาคารเป็นบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์(ฎ.175/12)
แต่ถ้าสัญญาระบุว่าการโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลภายนอก
ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าก่อนจึงอยู่ในอำนาจผู้ให้เช่าว่าจะอนุญาตให้โอนสิทธิการเช่าหรือไม่
ไม่เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ๆ
ไม่มีสิทธิฟ้องให้ทำสัญญาเช่าให้ตนได้(ฎ.3467/35)
๒.๓ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงจะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก
หากบุคคลภายนอกทวงถามให้ชำระหนี้ถือว่าเป็นการเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก
ใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐(ฎ.๗๓๕๕/๕๓)
๒.๔
คู่สัญญาอาจกำหนดให้บุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ตามสัญญาชำระหนี้ตอบแทนด้วยก็ได้
ยังคงถือว่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกอยู่
ซึ่งเป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกเลือกเอาว่าจะถือเอาประโยชน์หรือไม่
เช่นโจทก์จำเลยทำสัญญายอมความว่าจำเลยจะแบ่งที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
เมื่อโอนให้โจทก์แล้วโจทก์ต้องแบ่งให้ผู้ร้องสอดทั้งสามและ
น.บุตรโจทก์สี่คนครึ่งหนึ่ง โจทก์จำเลยตกลงโอนที่ดินภายใน 30 วันนับแต่วันทำสัญญา
และบุตรโจทก์ทั้งสี่คนต้องชำระเงินให้จำเลย 200 บาท จำเลยจึงจะโอนให้ตามกำหนด
เห็นได้ว่าจำเลยเจตนาจะแบ่งที่พิพาทให้บุตรโจทก์ทั้งสี่คนเมื่อผู้ร้องสอดบุตรโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะรับที่ดินส่วนที่จำเลยต้องแบ่งให้แล้ว
ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดินส่วนของตนได้โดยตรงตาม ปพพ.มาตรา 374
จำเลยไม่ต้องโอนให้โจทก์ผู้เดียวก่อน (ฎ.2733/17,9213/39)
๒.๕
สัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก
ต้องเป็นสัญญาที่ให้คู่สัญญามีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก
ถ้าเป็นข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกแทนอีกฝ่ายหนึ่ง
ไม่ใช่สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญานั้นด้วยตนเอง
เช่นจำเลยร่วมจ้างจำเลยก่อสร้างอาคาร มีข้อหนึ่งว่า”
ผู้รับจ้างจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้ลูกจ้างของตนตามอัตราค่าจ้างและกำหนดเวลา
ถ้าผู้รับจ้างไม่จ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง
ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างเอาเงินค่าจ้างที่ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายให้ผู้รับจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างของผู้รับจ้างได้
และถือว่าเงินจำนวนที่จ่ายไปนี้เป็นเงินค่าจ้างที่ผู้รับจ้างได้รับไปจากผู้ว่าจ้างแล้ว”
สัญญานี้เพียงกำหนดให้สิทธิจำเลยร่วมที่จะเอาเงินค่าจ้างที่จำเลยร่วมต้องจ่ายแก่จำเลย
จ่ายให้โจทก์ลูกจ้างของจำเลยได้ หากจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์
เพื่อให้งานก่อสร้างของจำเลยร่วมสำเร็จไปโดยเรียบร้อย
มิใช่เป็นหน้าที่จำเลยร่วมที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาข้อนี้
จำเลยร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ๆ
จะอาศัยข้อสัญญาดังกล่าวบังคับให้จำเลยร่วมชำระค่าจ้างโจทก์ไม่ได้(ฎ.639/30)
๒.๖ สัญญาประกันภัยที่ระบุผู้อื่นเป็นผู้รับประโยชน์เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก สิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นต้องแสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัยว่าตนจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยดังกล่าวด้วย
มิฉะนั้นผู้เอาประกันภัยมีสิทธิเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในฐานะคู่สัญญา (ฎ.๑๓๒/๔๐)
๒.๗ ก่อนบุคคลภายนอกเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญา
คู่สัญญาทำสัญญากันใหม่โดยไม่ระบุถึงหนี้ที่ต้องชำระแก่บุคคลภายนอก
ดังเช่นสัญญาฉบับแรก ถือว่าคู่สัญญาตกลงระงับสิทธิของบุคคลภายนอกแล้ว
เช่นสัญญาซื้อขายที่ดินมีเงื่อนไขจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก
แต่สิทธิบุคคลภายนอกยังไม่เกิดเพราะมิได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญา
คู่สัญญาตกลงซื้อขายที่ดินใหม่โดยไม่ระบุหนี้ที่ต้องชำระคือการทำถนน
และจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินฉบับใหม่
ถือว่าคู่สัญญาประสงค์ระงับสิทธิที่ต้องชำระแก่บุคคลภายนอกแล้ว(ฎ.๑๒๐๐/๕๒)
๓.ถ้าบุคคลภายนอกสละสิทธิที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญา
คู่สัญญาเดิมย่อมเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาได้ โดยมีอำนาจฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายชำระหนี้ได้แก่ตนได้
เช่นโจทก์เช่าซื้อรถจากบริษัท อ. เอาประกันภัยรถไว้กับจำเลยโดยระบุให้บริษัท
อ.เป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมารถยนต์ที่เช่าซื้อหาย แทนที่บริษัท อ.จะเรียกร้องเอาเงินประกันแต่กลับฟ้องโจทก์ให้รับผิดในค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ
การกระทำดังกล่าวเป็นการสละสิทธิที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว
โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัยได้ (1950/43)*** สามีภริยาหย่ากันตกลงยกทรัพย์ให้บุตร เมื่อบุตร(บุคคลภายนอก)
ยังไม่ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น
สามีภริยายังเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นคนละครึ่ง
หากอีกฝ่ายนำที่ดินไปขายให้คนอื่นโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอม เป็นการโต้แย้งสิทธิของอีกฝ่าย
ฝ่ายนั้นมีสิทธิฟ้องได้(ฎ.๔๕๖๑/๔๔)
๔. บุคคลภายนอกยังมิได้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญา
สิทธิของบุคคลภายนอกยังไม่เกิดขึ้น และกรณีนี้สิทธิของบุคคลภายนอกไม่ตกทอดเป็นทรัพย์มรดกแก่ทายาทได้ แสดงว่าการแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญา
เป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่เป็นมรดกตกทอด (ฎ.2401/15ป)แต่ถ้าคู่สัญญา(ที่ตกลงให้ประโยชน์แก่บุคคลภายนอก)
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายและบุคคลภายนอกได้ถือเอาประโยชน์แล้ว สิทธิตามสัญญาย่อมตกเป็นของบุคคลภายนอกไม่ตกเป็นมรดกของคู่สัญญา
เช่นคู่สัญญาทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีข้อสัญญาระบุให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้
เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่ความตาย
และผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อไว้แล้ว
ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก
เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่ความตายและทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวแสดงเจตนาเข้าถือประโยชน์จากสัญญานี้ต่อผู้ให้เช่าซื้อแล้ว
สิทธิในการเช่าซื้อตกเป็นของทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าว
ไม่ตกเป็นมรดกของผู้เช่าซื้ออันผู้จัดการมรดกจะฟ้องเรียกคืนได้(ฎ.๑๓๖๖/๑๖ )สัญญายกทรัพย์แก่บุคคลภายนอกแต่บุคคลภายนอกยังไม่ถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น
คู่สัญญาโอนขายทรัพย์นั้นให้บุคคลอื่นได้(ฎ.๒๙๑/๔๑)
๕.เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว
สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดขึ้นและฟ้องบังคับตามสัญญาด้วยตนเองได้ แต่ไม่ตัดอำนาจของคู่สัญญาเดิมที่จะฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกได้คือทั้งบุคคลภายนอกและคู่สัญญาเดิมมีสิทธิฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกได้
เช่น จำเลยทำสัญญาประกันภัยรถยนต์กับโจทก์ที่
๒ โดยมีโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้รับประโยชน์ สัญญาระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์โจทก์ที่
๑ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหายเพราะถูกยักยอกไป จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ ตามสัญญาประกันภัย โจทก์ที่ ๒ ในฐานะคู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ที่
๑ ผู้รับประโยชน์ได้ แม้โจทก์ที่ ๒ จะไม่มีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ที่ ๑ (ฎ.๕๙๒๕/๓๘)
๖.เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว
เป็นการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง
บุคคลภายนอกมีอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญาด้วยตนเอง(ฎ.๑๒๕๔/๙๓ ป) ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนดอายุความ
๑๐ ปีตาม ปพพ.๑๙๓/๓๐(ฎ.๑๑๖/๕๓)และไม่ตัดอำนาจคู่สัญญาเดิม
แม้บุคคลภายนอกแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว
๗. ถ้าบุคคลภายนอกยังมิได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญา
เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้นมีอำนาจฟ้อง แต่ต้องเป็นการฟ้องบังคับให้คู่สัญญาอีกฝ่ายชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก ส่วนบุคคลภายนอกจะยอมรับหรือไม่เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดี
เช่นโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าและบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินยกให้บุตรด้วย
เจตนาให้มีผลผูกพันตามกฎหมายไม่เป็นโมฆะ
เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในบันทึกการหย่า
โจทก์ในฐานะคู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้จำเลยโอนทรัพย์แก่บุตรได้
ส่วนบุตรจะยอมรับหรือไม่เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดี (ฎ.๔๑๕๖/๓๒)
๘.ชั้นพิจารณาของศาล คู่ความอาจทำสัญญายอมยกทรัพย์ให้บุคคลภายนอกได้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
แม้บุคคลภายนอกถือเอาประโยชน์ตามสัญญาฯ แล้ว
โจทก์ซึ่งมีส่วนได้เสียตามสัญญายอมโดยตรงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้
(ฎ.๓๐๕๓/๒๗)
๙.การแสดงเจตนาเพื่อถือเอาประโยชน์ของบุคคลภายนอกนี้เป็นนิติกรรมที่ไม่มีแบบ
อาจแสดงโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ เช่น บุคคลภายนอกเข้าใช้ทางตามข้อตกลงหรือเข้าทำนาในที่ดินที่คู่สัญญายกให้(ฎ.๔๒๗๘/๓๐)หรือบุคคลภายนอกลงชื่อในสัญญาตกลงรับเอาทรัพย์ที่ยกให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
(ฎ.๑๔๙๗/๒๔) หนังสือที่
ว.มีถึงจำเลยต้องการให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องตรวจรับงานติดตั้งกระจกและอลูมิเนียมเรียบร้อยแล้ว
หลังจากตัวแทนจำเลยตรวจรับงานจากโจทก์และจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ ๓๖๐,๐๐๐ บาท กับทำบันทึกภายในบริษัทจำเลยยอมรับว่ายังค้างชำระแก่โจทก์
๑,๗๕๒,๔๕๐ บาท หนังสือของ ว.เป็นคำเสนอ
ส่วนการที่จำเลยตรวจรับมอบงานจากโจทก์
จ่ายเงินให้โจทก์ไปบางส่วนกับทำบันทึกยอมรับว่าค้างชำระหนี้แก่โจทก์มีลักษณะเป็นคำสนองด้วยการแสดงเจตนาโดยปริยาย
เกิดเป็นสัญญาระหว่าง ว.กับพวก และจำเลย สัญญานี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรงได้
และสัญญาดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดบังคับให้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ(ฎ.๓๗๐๒/๔๕)*** จำเลยกับ
บ.ทำสัญญายอมในคดีอื่นแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ซึ่งเป็นคนภายนอก โจทก์เข้าทำนาส่วนที่ได้รับแบ่ง
จำเลยขัดขวางโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษา แสดงว่าส่วนแบ่งเป็นของโจทก์ โจทก์เข้าทำนาถือว่าแสดงเจตนาว่าจะเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างโจทก์กับ
บ.แล้ว สิทธิโจทก์ย่อมมีขึ้น จำเลยเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิภายหลังได้ไม่(ฎ.๑๙๕๑/๒๔)
สัญญาจะคืนที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ตกลงให้จำเลยต้องโอนคืนที่ดินเข้าบริษัทที่จะทำการก่อสร้างโรงเรียน
ส.เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตาม ปพพ.๓๗๔ ซึ่งไม่ได้กำหนดให้สัญญาต้องระบุกำหนดตัวบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ว่าเป็นตัวบุคคลหรือนิติบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงขณะทำสัญญา
เพียงแต่ให้สิทธิบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์มีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้
ตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น
การที่โจทก์และจำเลยตกลงให้จำเลยต้องโอนคืนที่ดินเข้าบริษัทที่จะทำการสร้างโรงเรียน
ส.มีผลบังคับได้ เมื่อต่อมา บริษัท
ส.จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดและทำหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินคืนบริษัท
ส.ตามสัญญา เป็นการแสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว
บริษัท ส.มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญาจะคืนที่ดิน(ฎ.๒๗๗/๕๑)จำเลยเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อโดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์
สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
สิทธิผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัยว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น
ไม่ว่าจะแสดงเจตนาก่อนหรือหลังเกิดวินาศภัย
และผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากผู้รับประกันภัยได้โดยตรงในนามของตนเอง เมื่อโจทก์เรียกให้บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทน
เป็นการถือเอาประโยชน์ตามสัญญา แต่ไม่ฟ้องผู้รับประกันซึ่งปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปหลายปีจนขาดอายุความซึ่งเป็นความผิดโจทก์
จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์(ฎ.๑๕/๔๘)ทายาททุกคนทำสัญญายกที่ดินมรดกบางส่วนให้โจทก์
เพื่อชำระหนี้ของผู้ตายโดยโจทก์มิได้เข้าเป็นคู่สัญญาด้วย เป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
โจทก์ลงชื่อรับทราบในช่องพยานและถือสัญญาไว้ และบอกกล่าวจำเลยทายาทและผู้จัดการมรดกโอนที่ดินให้ตนเอง
ถือว่าโจทก์แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว
จำเลยต้องโอนที่ดินให้โจทก์ ทายาทจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาไม่ได้(ฎ.๑๓๑๒/๒๗)
๑๐.ถ้าบุคคลภายนอกยังไม่แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญา
คู่สัญญาเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิภายหลังได้ เช่นสัญญาซื้อขายที่ดินมีเงื่อนไขว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกคือโจทก์ที่
๒ แต่สิทธิโจทก์ที่ ๒ ยังไม่เกิดเพราะยังไม่รับรู้ถึงสิทธิในขณะทำสัญญาหรือยังมิได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญา
คู่สัญญาย่อมเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิภายหลังได้ โจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ตกลงซื้อขายที่ดินกันโดยไม่ระบุหนี้ที่ต้องชำระคือทำถนนและจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ที่
๒ ในสัญญาขายที่ดินฉบับใหม่
ถือว่าคู่สัญญาประสงค์จะระงับสิทธิที่ต้องชำระแก่โจทก์ที่ ๒ แล้ว
จำเลยทั้งแปดไม่มีหนี้ที่ต้องทำถนนและจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ที่ ๒ (ฎ.๑๒๐๐/๕๒)
# # # # # #
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น