ทางจำเป็น
ทางจำเป็น (มาตรา
1349)
“ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้
เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้
ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่ต้องข้ามสระ บึง
หรอทะเลหรือมีที่ชันอันมีระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากเจ้าของที่ดินจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ได้
ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน
โดยคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้
ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านได้
ผู้มีสิทธิผ่านต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่
เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น
ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนนแล้ว จะกำหนดเป็นรายปีก็ได้”
1.ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมาย
(ปพพ.มาตรา 1349) เป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ ผู้มีสิทธิใช้ทางไม่ต้องจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
(ฎ.4416/41)ทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดิน
ถ้าต่อมาเจ้าของที่ดินมีทางออกสู่สาธารณะแล้วที่ดินไม่ตกอยู่ในที่ล้อมก็ไม่มีสิทธิของให้เปิดทางจำเป็น
เช่นเจ้าของที่ดินเดิมมีสิทธิใช้ทางจำเป็นในที่ดินที่ล้อมอยู่
เมื่อโอนขายที่ดินผู้รับโอนเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่อีกแปลงหนึ่งซึ่งติดทางสาธารณะ
ผู้รับโอนอ้างทางจำเป็นอีกไม่ได้(ฎ.5672/46)โจทก์ได้ภาระจำยอมในที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งออกสู่ทางสาธารณะได้
ระหว่างพิจารณาของศาล ที่ดินโจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมผ่านที่ดินข้างเคียงแล้ว
ที่ดินจึงไม่ตกอยู่ในที่ล้อมต่อไป
ศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยว่าขณะฟ้องโจทก์ไม่มีทางอื่นนอกจากทางพิพาทสู่ทางสาธารณะหรือไม่
(ฎ.25374/49)
2.ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
ทางสาธารณะดังกล่าวอาจเป็นทางบกหรือทางน้ำก็ได้ ถ้าที่ดินติดคลองสาธารณะอ้างทางจำเป็นนไม่ได้
(ฎ.1313/93) แต่คลองต้องใช้สัญจรไปมาได้ด้วย (ฎ.2240/25)
ถ้าคลองตื้นเขินจนไม่สามารถใช้เดินเรือหรือเรือสัญจรไปมาได้หรือใช้ได้เป็นครั้งคราวหรือไม่มีน้ำสัญจรได้ตลอดปี
(ฎ.800-801/44)หรือทางสาธารณะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
ใช้สัญจรไปมาไม่ได้(ฎ.290/36)หรือทางเดินออกสู่ทางสาธารณะหมดสภาพเป็นทางแล้ว ทำให้ไม่มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้อีก
มีสิทธิให้เปิดทางจำเป็นได้ เช่นเดิมโจทก์เคยใช้ทางเดินตามแนวริมคลองขวางออกไปสู่ถนนสาธารณะ
แต่เมื่อทางดังกล่าวไม่มีสภาพเป็นทาง จึงเปลี่ยนมาใช้ทางพิพาทในโครงการจำเลย ๆ
ก่อสร้างกำแพงปิดถือว่าที่ดินโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้
และกำหนดความกว้างของทางเพียง 1.50
เมตร (ฎ.7349/41) อ.ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางจำเป็น เป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่มีผลผูกพันโจทก์ แต่
อ.เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนด 19 แปลงใหญ่
และมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะและถนนได้
การที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดหมายเลข 19 ซึ่งเป็นแปลงใหญ่นั้น
ปรากฏว่าที่ดินที่แบ่งทุกแปลงมีทางออกผ่านที่ดินจำเลยสู่ทางสาธารณะเป็นทางจำเป็นอยู่แล้ว
โจทก์ย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นได้เช่นเดียวกับ อ. เพราะจำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้นทางจำเป็นอีกต่อไป
ถือว่าที่ดินโจทก์มีทางออกถึงทางสาธารณะได้
โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินจำเลยเป็นทางจำเป็นอีก(ฎ.2900/53)
3.ผู้มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็น ต้องเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมเท่านั้น
เจ้าของที่ดินเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นแต่ไม่ต้องเป็นผู้ครอบครองที่ดิน(ฎ.1855/35)
ที่ดิน ม.ที่โจทก์ปลูกเรือนอยู่อาศัยจดทางสาธารณะ แต่ ม.ปลูกห้องแถวกั้น
จึงเข้าออกทางนี้ไม่ได้ จะถือว่าที่ดิน
ม.ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินและมาร้องขอให้ศาลบังคับเจ้าของที่ดินให้เปิดทางจำเป็นไม่ได้(ฎ.517/09)เจ้าของโรงเรือนที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดินแม้ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็น(ฎ.2196/14)ผู้ที่ปลูกบ้านในที่ดิน น.ส.3 ก.เท่านั้นไม่ใช่เจ้าของที่ดิน
แม้ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น(ฎ.3740/51)
ผู้รับโอนที่ดินที่ถูกล้อมจากเจ้าของเดิมซึ่งมีสิทธิผ่านทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะ มีสิทธิใช้ทางจำเป็นเช่นเดียวกับเจ้าของที่ดินซึ่งได้สิทธิมาตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม
เพราะรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่จากเจ้าของเดิม
แม้จำเลยทั้งสองไม่เป็นคู่ความในคดีก่อน ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1
เป็นบุคคลภายนอกอันมีผลถึงจำเลยที่ 2 สามีจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์และจำเลยทั้งสองคดีนี้ต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อน
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าใช้ค่าใช้ทางจำเป็น(ฎ.4416/41) การขอทางจำเป็นตาม
ปพพ.1349
กฎหมายไม่กำหนดว่าผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่ต้องได้ที่ดินมาโดยสุจริต
แม้ได้ที่ดินมาโดยรู้ว่าเป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่
ก็มีสิทธิฟ้องขอเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต(ฎ.5103/47)
4.สิทธิที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ ถ้าที่ดินนั้นถูกล้อมอยู่จนไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้
แม้เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่จะยินยอมให้ผ่านได้
ก็มิใช่สิทธิตามกฎหมาย ถือว่าที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
ขอเปิดทางจำเป็นได้(ฎ.9325/53)มาตรา 1349 มิได้บังคับว่าเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะต้องขอผ่านที่ดินที่ล้อมซึ่งอยู่ใกล้ทางสาธารณะมากที่สุด
เจ้าของที่ดินซึ่งถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจึงมีสิทธิขอผ่านที่ดินที่ล้อมแปลงใดก็ได้
เพียงแต่การผ่านที่ดินที่ล้อมนั้นมาตรา 1349 วรรคสามบัญญัติว่า”ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านกับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้
ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนผ่านก็ได้ “
เมื่อที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ
โจทก์มีสิทธิขอเปิดทางในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น(ฎ.2989/52)
5. สภาพของทางจำเป็น ทางจำเป็นไม่จำต้องเชื่อมกับทางสาธารณะโดยตรง เพราะมาตรา
1349 ระบุเพียงว่าที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่งมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้
(ฎ.6930/40)
6.ที่ดินมีทางออกแต่ต้องข้ามสระ บึง
หรือทะเลหรือเป็นที่ชันตามมาตรา 1349 วรรคสอง
เจ้าของที่ดินจะผ่านที่ล้อมอยู่ได้ เช่น เดิมใช้ลำห้วยออกสู่ทางสาธารณะ
ภายหลังมีการราดยางและยกระดับถนนขึ้นสูงจนถึงระดับศีรษะ ทำให้ใช้ลำห้วยเป็นทางออกสู่สาธารณะลำบากเนื่องจากลำห้วยลึก
1 เมตร
มีสภาพแห้ง ไม่มีน้ำ เวลาฝนตกจะมีน้ำขัง ไม่นานก็แห้งไม่อาจใช้สัญจรเป็นปกติได้
ไม่มีสภาพเป็นทางสาธารณะ และถนนสาธารณะสูงมาก มีสิทธิผ่านทางพิพาทในที่ดินที่ล้อมอยู่ซึ่งเป็นทางที่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เสียหายน้อยที่สุดเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น(ฎ.2861/49)
แต่ถ้าไม่ปรากฏว่าการเข้าออกจากที่ดินโจทก์สู่แม่น้ำฯ ต้องข้ามสระ บึงหรือมี ที่ชันอันมีระดับที่ดินกับแม่น้ำนซึ่งเป็นทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก
ไม่ถือว่าที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางงสาธารณะ ได้ตามมาตรา 1349 วรรคสอง(ฎ.5792/51)
7.การเลือกที่ดินและวิธีทำทางจำเป็น
(มาตรา 1349 วรรคสาม)หากที่ดินที่ล้อมอยู่อาจมีหลายแปลงต่างเจ้าของกัน
เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่มีสิทธิขอผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่แปลงใดก็ได้
แต่จะใช้ทางจำเป็นส่วนใดและวิธีทำทางต้องใช้ทางจำเป็นให้พอควรแก่ความจำเป็นโดยให้เสียหายน้อยที่สุด(ฎ.5103/47)
8.การใช้ทางจำเป็น ไม่ถูกจำกัดว่าต้องใช้เดินอย่างเดียว มีสิทธิใช้รถยนต์ผ่านทางได้
(ฎ.653/16)
บางกรณีศาลฎีกาวินิจฉัยว่าบ้านเมืองปัจจุบันและการประกอบอาชีพของจำเลยที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางมาประกอบการพิจารณาด้วย(ฎ.802/47)แต่ถ้าก่อนซื้อที่ดินมาเจ้าของที่ดินรู้อยู่แล้วว่าทางจำเป็นใช้เฉพาะการเดินเข้าออกเท่านั้น
เมื่อซื้อที่ดินมาแล้วจะขอใช้รถยนต์ผ่านทางจำเป็นไม่ได้(5114/40)
9.ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมเป็นความเสียหายอันเกิดจากเหตุที่มีทางผ่านนั้น
แต่กฎหมายไม่บังคับว่าจะต้องใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้ทางจำเป็นได้
เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมมีสิทธิฟ้องให้เปิดทางจำเป็นได้โดยไม่ต้องเสนอค่าทดแทนก็ได้
เมื่อโจทก์ไม่เสนอค่าทดแทนแก่จำเลย
และจำเลยไม่ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์คดีไม่มีประเด็นเรื่องค่าเสียหาย
จำเลยต้องไปว่ากล่าวเป็นคดีใหม่ (74/40)ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นต้องใช้โดยมีขอบเขตด้วยความระมัดระวัง
โดยคำนึงถึงผลเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกบังคับใช้ทางจำเป็นด้วย
เมื่อที่ดินโจทก์เป็นที่ว่างเปล่ายังไม่ทำประโยชน์ใด ๆ
ส่วนที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่โดยรอบมีสภาพเป็นทุ่งนา โจทก์ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี 2517
ขณะนั้นยังไม่มีทางสาธารณะ
โจทก์ย่อมรู้อยู่แล้วในขณะนั้นว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อไม่อาจใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้
คงใช้ทางได้เฉพาะการเดินเข้าออกเท่านั้น
เมื่อโจทก์ยอมรับสภาพการที่จะไม่ใช้รถยนต์เข้าออกในทางขณะที่ซื้อมาแต่แรกเท่ากับโจทก์ยอมรับสภาพที่ต้องจอดรถยนต์ไว้ในสถานที่อื่น
โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นทางจำเป็นเพื่อการใช้รถยนต์
ประกอบกับที่ดินจำเลยมีเนื้อที่ประมาณ 3 งานเศษหากเปิดทางกว้าง 2 วาหรือ 4 เมตร
ตามที่โจทก์ขอย่อมเสียหายแก่จำเลยเกินสมควร(ฎ.2989/52)
10.ทางพิพาทอันเป็นทั้งจำเป็นและเป็นทางภารจำยอมในขณะเดียวกันได้
ฟ้องที่บรรยายว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอมเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคำฟ้องที่ใช้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐาน
เมื่อศาลฟังว่าเป็นทางจำเป็นแล้วก็ไม่ต้องวินิจฉัยว่าเป็นภาระจำยอมอีก(ฎ.3758/43)หรือกรณีโจทก์บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทั้งทางจำเป็นและภาระจำยอม
และศาลวินิจฉัยก่อนว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอม
ศาลมีอำนาจให้เปิดทางในฐานะเป็นทางจำเป็นได้(ฎ.5881/48)
ทางจำเป็นกรณีแบ่งแยกที่ดิน
(มาตรา 1350)
“ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”
1.การแบ่งแยกที่ดินเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ กรณีนี้จะเรียกร้องทางเดินได้เฉพาะที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนเท่านั้น
ไม่รวมถึงที่ดินที่เคยเป็นแปลงเดียวกับที่ดินแปลงที่แบ่งแยกมา
เช่นที่ดินโจทก์แบ่งแยกจากโฉนดเลขที่ 82 ถือว่าแบ่งจากโฉนดเลขที่ 82 เท่านั้น
แม้โฉนดเลขที่ 82 จะเคยเป็นแปลงเดียวกับโฉนดเลขที่ 74 ของจำเลยมาก่อนก็ตาม
ไม่ถือว่าโฉนดโจทก์แบ่งจากโฉนดเลขที่ 74 ไม่ได้ โจทก์เรียกร้องเอาทางพิพาทจากโฉนดเลขที่
74 ไม่ได้ เรียกได้เฉพาะโฉนดเลขที่ 62 เท่านั้น(1974/43)ต้องเป็นกรณีแบ่งแยกที่ดินทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะที่มีอยู่เดิมก่อนแบ่ง
ไม่ใช่ทางสาธารณะเกิดภายหลังแบ่งที่ดินแล้ว(ฎ.629/22)การแบ่งแยกต้องเป็นเหตุให้ที่ดินที่แบ่งแยกบางแปลงไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
ถ้าขณะแบ่งแยกมีทางผ่านไปยังทางสาธารณะได้ กรณีเช่นนี้ไม่ใช่กรณีตาม
1350 เช่นเดิมที่
ว.มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่พิพาทเท่านั้น ว.แบ่งขายที่ดินบางส่วนแก่ ส.
ส.ใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะเช่นกัน แต่
ส.เพิ่งออกทางสาธารณะโดยผ่านทางอื่นภายหลัง ต่อมา ว.ขายที่ดินที่เหลือให้โจทก์ ๆ
ชอบใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะได้ต่อไปโดยไม่ต้องผ่านที่ดิน
ส.เพื่อออกทางสาธารณะทางอื่น เนื่องจากขณะ ว.แบ่งขายที่ดินบางส่วนให้
ส.ไม่เป็นเหตุให้ที่ดินส่วนที่เหลือออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ตาม 1350 (ฎ.607/37)ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่
4383 ซึ่งอยู่ติดกับคลองสาธารณะ แม้โจทก์จะมีความจำเป็นต้องเดินทางโดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะไม่สะดวกที่จะเดินทางโดยทางเรือ
แต่มาตรา 1350 บัญญัติให้เจ้าของที่ดินแปลงที่แบ่งแยกเรียกร้องเอาทางเดินได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกกันโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีก(1224/42,250/42)
2.สิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็น
เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่อันเนื่องจากการแบ่งแยกหรือแบ่งโอน
มีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนมาได้
แม้จะมีทางเดินผ่านที่ดินผู้อื่นสู่ทางสาธารณะได้ก็ตาม(ฎ.119/52)มาตรา 1350
ต้องเป็นกรณีแบ่งที่ดินทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่เดิมก่อนแบ่ง
ถ้าทางสาธารณะเกิดขึ้นหลังจากแบ่งแยกแล้วไม่เข้ามาตรา 1350
แต่ใช้มาตรา 1349 (ฎ.9325/2553)
3.ที่ดินที่แบ่งแยกออกมาต้องไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยทางอื่นได้
แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 53 แบ่งแยกหรือแบ่งโอนจากที่ดินโฉนดแปลงใหญ่เลขที่ 81
ทำให้ที่ดินแปลงนี้ถูกที่ดินที่แบ่งแยกคราวเดียวกันปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ก็ตาม
แต่เวลานั้นเจ้าของผู้ได้รับที่ดินจากการแบ่งแยกยังเป็นเจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับที่ดินแปลงที่ได้รับการแบ่งแยกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เลขที่
19 (ก่อนแบ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกา) และที่ดินโฉนดเลขที่ 19 เดิมมีทางพิพาทกว้าง 10 เมตร
เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะซึ่งเจ้าของใช้ทางพิพาทในที่ดินแปลงดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะของโฉนดเลขที่
53 ได้ ถือว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 53
ที่แบ่งแยกมามีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยทางอื่นอยู่แล้ว
สิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นบนที่ดินที่แบ่งแยกมาในคราวเดียวกันตามมาตรา 1350
ย่อมหมดไปตั้งแต่นั้นแล้ว แม้ต่อมาโฉนดที่ดินเลขที่ 19
เดิมจะถูกบังคับให้แบ่งแยกและบังคับให้โอนขายแก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกา ทำให้ที่ดินตามโฉนดเลขที่
53 ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกครั้ง โจทก์เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 53
จะกลับไปใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นบนที่ดินแบ่งที่แบ่งแยกมาในครั้งก่อนตามมาตรา
1350 อีกไม่ได้ คงมีสิทธิผ่านที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่งที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ในฐานะทางจำเป็นตาม
1349 เท่านั้น(ฎ.6229/51)กรณีที่ดินแบ่งแยกแล้วมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แม้เป็นทางแคบ
ไม่ใช่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ไม่สามารถใช้รถยนต์เข้าออกได้
ขอเปิดทางจำเป็นตามมาตรา 1349,1350 ไม่ได้(ฎ.6372/50)
4.การฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น มาตรา 1350 ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว
เมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ
เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตรา 1350
ได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่คดีนี้เดิมที่ดินของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้
ต้องอาศัยที่ดินผู้อื่นเดินผ่านเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ
การที่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินผู้อื่นได้เพราะเขายินยอม
มิใช่สิทธิตามกฎหมายถือว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ กรณีของโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา
1350
แต่เป็นกรณีที่ดินโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโจทก์สามารถผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา
1349 ซึ่งที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะหลายทางคือทางแรกผ่านที่ดิน
ส.ซึ่งขายที่ดินให้โจทก์แล้วออกไปทางที่ดินของ ด. โดย ส.และ ด.ไม่หวงห้าม
ทางที่สองออกทางที่ดินของ ป.และทางที่สามคือทางพิพาทนั้นโจทก์เพิ่งมาใช้ภายหลัง
เมื่อโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทางโดยผ่านที่ดินของ ส.ด.และ ป.
ซึ่งบุคคลดังกล่าวมิได้หวงห้ามโจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์จะขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อความสะดวกของโจทก์
แต่ทำให้จำเลยต้องเดือดร้อนและเสียหาย และถ้าหากให้ ล.1
เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจะทำให้ ล.1 ต้องรื้อบริเวณหลังบ้านอันจำทำให้ ล.1
ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนอย่างมาก ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 1349
วรรคสาม การกระทำของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต(ฎ.3408/51)
************
ที่ดินที่ซื้อมาจากกรมบังคับคดีที่ดินเป็นที่ยาวติดถนนหน้าหลัง ตอนที่เจ้าของคนเก่าอยู่ได้ให้ลูกผ่านหน้าบ้าน แต่เมื่อที่ดินถูกเปลี่ยนเจ้าของแล้วซึ่งเราต้องการถมที่ดิน เค้ากับบ้านว่าทางที่เคยผ่านเป็นทางสาธารณะแต่เค้าก็สามารถออกทางบ้านญาติพี่น้องได้แต่ไม่ออก แต่จะเอาที่ที่เราซื้อจากกรมบังคับคดี ถ้าเราไม่ให้จะผิดมั้ย
ตอบลบผมมีที่ดินไม่มีหลักฐาน(ขณะนี้)แต่เคยมีสค.1 ตอนนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ฉะนั้นตอนนี้เป็นที่ดินตาบอด. ไม่มีทางออก ที่ดินล้อมรอบก็ไม่มีหลักฐาน จะร้องขอทางจำเป็นได้หรือไม่ ถ้าได้จะทำอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้างครับ
ตอบลบ